"ไม่เอาสโมค"
.
ในโลกของงานแสดงสด ความสมบูรณ์แบบไม่ได้อยู่แค่ในเสียงเพลงหรือจังหวะกลองที่ลงตัวเท่านั้น หากแต่ยังซ่อนอยู่ในลำแสงที่พุ่งผ่านม่านควันเบาบาง สะท้อนอารมณ์ให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ ความงามที่เห็นด้วยตาเหล่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นลำพัง หากแต่ต้องอาศัยการร่วมมือของทีมงานทุกฝ่าย โดยเฉพาะ “นักออกแบบแสง” และ “ศิลปินบนเวที”
.
สำหรับทีม Lighting แล้ว สโมคไม่ใช่เพียงเครื่องสร้างเอฟเฟกต์ แต่เป็นเหมือนผืนผ้าใบที่ทำให้แสงมีเนื้อหนัง แสงจะไม่สามารถแสดงออกถึงทิศทาง มิติ หรือความรู้สึกได้เลยหากลอยอยู่ในอากาศใสสะอาด ไร้อนุภาคควัน สำหรับคนทำแสง “ควันคือสิ่งจำเป็น” เพื่อให้เวทีมีชีวิต เพื่อให้แสงกลายเป็นภาษา
.
แต่ในมุมของศิลปินผู้ต้องยืนอยู่ตรงกลางเวทีนั้น เรื่องราวกลับไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป หลายคนเริ่มออกมาบอกเล่า ว่าควันทำให้เสียงหาย คอแห้ง หรือรู้สึกระคายเคือง บางคนถึงกับแพ้น้ำยาหรือสารที่อยู่ในควัน บ้างก็เคยมีประสบการณ์แย่ๆ เช่น ถูกปล่อยควันใส่หน้าโดยไม่ตั้งใจ หรือเผชิญกลิ่นฉุนจนหมดอารมณ์แสดง คำว่า “ไม่เอาสโมค” จึงเริ่มถูกพูดมากขึ้นในห้องซ้อม เวทีจริง หรือแม้กระทั่งกลางโชว์
.
ความรู้สึกไม่เข้าใจกันระหว่างสองฝ่ายจึงเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ฝั่งหนึ่งรู้สึกว่าสโมคคือหัวใจของการออกแบบ แต่อีกฝั่งกลับรู้สึกว่าสโมคเป็นอุปสรรคต่อร่างกายและสมาธิของการแสดง แล้วใครผิด? ใครถูก?
.
คำตอบคือ ไม่มีใครผิดเลย...
เพียงแต่ต่างคนต่างมีเหตุผลที่ควรถูกรับฟัง
.
หากพิจารณาให้ลึกลงไปจะพบว่า ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับ "สโมค" บนเวทีสามารถแบ่งออกได้หลายกลุ่ม บ้างชอบควันหนาๆ จนเหมือนยืนอยู่ในฝัน บ้างไม่รู้สึกอะไรเลยแม้จะสูดเข้าไปเต็มปอด ขณะที่บางคนเริ่มรู้สึกระคายเคือง บางคนก็เริ่มกังวลใจ และบางคนก็มีเหตุผลทางการแพทย์ที่ไม่อาจเพิกเฉย จากโรคประจำตัวอย่างภูมิแพ้
.
ศิลปินบางคนอาจไม่เคยรู้ว่า ทีม Lighting ก็ไม่ได้มีเจตนาจะรบกวน หากแต่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าการปล่อยควันจะส่งผลอย่างไรกับผู้แสดง ในขณะเดียวกัน ทีมแสงก็อาจไม่เคยเข้าใจว่า เสียงร้องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ หากทางเดินหายใจไม่โล่งเพียงพอ ทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่ความขัดแย้ง หากแต่เป็นช่องว่างของการสื่อสาร
.
โชว์หนึ่งโชว์เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของคนมากมาย และยิ่งต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อแต่ละคนมี "ร่างกาย" เป็นปัจจัยหลักในการแสดงออก การจะใช้สโมคหรือไม่ใช้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคอีกต่อไป แต่คือเรื่องของ “ความเห็นอกเห็นใจ” และ “การออกแบบร่วมกัน”
.
คำว่า “แจ้งล่วงหน้า” จึงมีความหมายมากกว่าที่คิด หากศิลปินมีข้อจำกัด ก็เพียงแค่บอกไว้ก่อน หากทีมแสงมีภาพในหัว ก็เพียงแค่เปิดแผนให้คนอื่นรับรู้ แล้วหาจุดลงตัวร่วมกัน การเลือกน้ำยาที่ไม่มีกลิ่นฉุน การปรับทิศทางการปล่อย การเว้นช่วงเวลาให้เวที “หายใจ” ได้บ้างในบางตอน ล้วนเป็นวิธีเล็กๆ ที่แสดงถึงความใส่ใจ และสามารถทำให้ทุกฝ่ายเดินไปด้วยกันได้
.
ในท้ายที่สุด เราควรยอมรับว่า ควันอาจทำให้แสงสวยขึ้น
แต่ศิลปินคือหัวใจของโชว์ที่ไม่มีใครทดแทนได้
และความเข้าใจซึ่งกันและกันต่างหาก คือสิ่งที่จะทำให้เวทีนี้ "ปลอดภัย งดงาม และทรงพลัง" สำหรับทุกคนที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง